กมธ.เกษตรฯ ศึกษาดูงานและประชุมทวิภาคี ในประเด็น “การพัฒนาด้านการเกษตร”
คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา นำโดย พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ ประธานคณะกรรมาธิการ ศึกษาดูงานและประชุมทวิภาคี ในประเด็น “การพัฒนาด้านการเกษตร” โดยวันที่ 25 กันยายน 2565 ณ เมืองหมีเทอ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ศึกษาดูงานการส่งเสริมเกษตรวิถีพื้นบ้าน การพัฒนาการผลิตผลไม้เมืองร้อน และการเลี้ยงปลาพื้นที่ปากแม่น้ำโขง เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน ซึ่งเมืองหมีเทอตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำโขง เป็นจุดที่แม่น้ำทั้ง 9 สายไหลมาบรรจบกันเพื่อออกสู่ทะเล มีความกว้างกว่า 3 กิโลเมตร และลึกกว่า 15 เมตร ส่งผลให้พื้นที่บริเวณดังกล่าวมีความอุดมสมบูรณ์ทั้งทรัพยากรน้ำและดิน การเกษตรและการประมงของพื้นที่จึงมีความได้เปรียบและมีความน่าสนใจ อาทิ การทำประมงลักษณะกระชังพื้นบ้าน ซึ่งการประมงลักษณะกระชังพื้นบ้านได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยกำหนดหลักเกณฑ์และกติกาที่อนุญาตให้ชาวประมงสามารถรวมกลุ่มสร้างกระชังในแม่น้ำได้และกำหนดจุดการเลี้ยงที่แน่นอน ทำให้ชาวประมงมีรายได้และสร้างความมั่นคงในอาชีพ สำหรับการทำเกษตร พบว่า มีการทำสวนเกษตรแบบผสมผสานที่มีพืชผลหลากหลาย ได้แก่ มะพร้าว ลำไย เงาะ แก้วมังกร และผลไม้เมืองร้อนอื่น ๆ โดยรูปแบบแปลงเกษตรมีลักษณะที่เน้นการบริโภคในครัวเรือนเหลือจึงนำไปจำหน่าย รวมทั้งยังมีการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรในพื้นที่ที่ไม่มุ่งเน้นเชิงอุตสาหกรรมหรือการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า มีการอนุรักษ์เกษตรดั้งเดิมที่เน้นวิถีชีวิตชุมชน โดยรัฐบาลจะสนับสนุนการบริหารจัดการให้มีเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงเกษตรครบวงจร ทุกคนในชุมชนมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึงอันเป็นการสร้างรายได้หมุนเวียนและจูงใจให้ชาวบ้านมีความตั้งใจประกอบอาชีพ
.
วันที่ 26 กันยายน 2565 ศึกษาดูงานการขับเคลื่อนพัฒนาการผลิตข้าวในแถบสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงของเวียดนาม และประชุมทวิภาคี ร่วมกับ Dr. TRAN NGOC THACH Director Cuu Long Delta Rice Research Institute & Principal Scientist ณ สถาบันวิจัยข้าวสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง เมืองอันยาง โดยสถาบันวิจัยข้าวสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง หรือ CLRRI เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบท จัดตั้งเมื่อปี ค.ศ.1975 มีภารกิจสำคัญเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาระบบเกษตรกรรมสมัยใหม่ มีการวิจัยที่สำคัญ อาทิ การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ การปรับปรุงพันธุ์พืช การขยายพันธุ์พืช การกำจัดศัตรูพืช การดูแลพื้นที่และคุณภาพของดิน การใช้ปุ๋ย การอารักขาพืช และการให้คำปรึกษาแนะนำแก่เกษตรกรเกี่ยวกับการเพาะปลูกพืชที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ หรือการใช้วิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้ทรัพยากร ตลอดจนเป็นศูนย์ให้บริการข้อมูลด้านการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์พืช และจัดอบรมแลกเปลี่ยนความรู้แก่หน่วยงานทั้งภายในและนอกประเทศ ปัจจุบันสถาบันฯ สามารถวิจัยและผลิตพันธุ์ข้าวที่มีความสอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศที่ประสบปัญหาน้ำท่วมเป็นประจำ โดยทำให้การปลูกข้าวมีระยะเวลาเก็บเกี่ยวสั้นลง ตลอดจนการปรับปรุงพันธ์ุที่เหมาะกับความต้องการในการบริโภค (ลักษณะ cooking variety) อาทิ ข้าวสายพันธุ์ OM18 โดยคำนึงถึงความต้องการของตลาด การลดต้นทุนการผลิต และกระบวนการผลิตข้าวที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งนี้ สถาบันอยู่ระหว่างการวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาการปลูกข้าวในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำทะเล (Salinity soil) อีกด้วยจากนั้น ศึกษาดูงานและร่วมประชุมทวิภาคีกับประธานบริษัท Loc Troi Group และคณะผู้บริหาร ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตรครบวงจรของเวียดนาม ปัจจุบันมีสมาชิกเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ จำนวนกว่า 4,000 ครัวเรือน ด้านการดำเนินงานสำคัญ ได้แก่ การจัดเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนข้อมูลในการทำเกษตรกรรมแก่เกษตรกร การจัดทำสัญญญาร่วมกันระหว่างบริษัทกับเกษตรกร (Contract farming) รวมถึงมีศูนย์พัฒนาและวิจัยพันธุ์ข้าวของบริษัท จำนวน 7 แห่ง บริษัทได้วิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวจนได้ข้าวคุณภาพดีและได้รับรางวัลจากการประกวดข้าว ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน คือ พันธุ์ LT28 ด้านการตลาด บริษัทมีการส่งออกข้าวสารและข้าวแปรรูปที่มีสารกาบา 3 ซึ่งเป็นข้าวที่คำนึงถึงสุขภาพของผู้บริโภค ไปยังตลาดสำคัญทั่วโลกกว่า 40 ประเทศ โดยเฉพาะทวีปแอฟริกาและยุโรป สำหรับประเด็นที่บริษัทให้ความสนใจ คือการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืนด้วยการใช้เทคโนโลยี รวมถึงมุ่งหวังให้มีการยกระดับรายได้ของชาวนาและเพิ่มมูลค่าสินค้าข้าวให้มีราคาสูงขึ้น บริษัทได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขการผลิตข้าวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (ภายใต้ข้อตกลง food and environment) โดยเป็นการยืนยันว่า เวียดนามเป็นประเทศผู้ปลูกข้าวโดยไม่ส่งผลกระทบหรือทำลายสิ่งแวดล้อม
.
สำหรับวันที่ 27 กันยายน 2565
ศึกษาดูงานการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวและธัญพืชด้วยเทคโนโลยีและผลการวิจัย ณ บริษัท HTX Dinh An Lap เมืองด่งท้าป โดยจุดเริ่มต้นของบริษัทมาจากการรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ประกอบด้วย สมาชิกในหมู่บ้าน จำนวน 17 ราย มีพื้นที่รวม 475 ไร่ สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวแดงประมาณ 300 ตันต่อปี จุดเด่นของข้าวที่บริษัทพัฒนาพันธุ์ คือ เป็นข้าวพื้นเมืองมีกลิ่นหอมเหมือนสับปะรด มีความนุ่ม และมีระยะเวลาการเก็บเกี่ยวเพียง 102 วัน ทำให้สามารถปลูกข้าวได้ตามความต้องการของตลาดปีละ 2-3 ครั้ง การปลูกข้าวจะมุ่งเน้นความต้องการของตลาดและการบริโภคเชิงสุขภาพเป็นสำคัญ มีระบบการตรวจรับรองพันธุ์ รับรองการผลิต เพื่อรักษาคุณภาพและมาตรฐานให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ผ่านการรับรองแล้ว โดยบริษัท HTX เป็นกลุ่มวิสาหกิจที่ประสบความสำเร็จและเป็นตัวอย่างที่ดีจากการที่เกษตรกรเป็นผู้หาจุดเด่นของพื้นที่และผลิตสินค้าที่มีอัตลักษณ์พื้นถิ่น มีการเชื่อมโยงตลาดเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันหรือการยกระดับคุณภาพข้าวโดยให้ความสำคัญกับการรับรองคุณค่าทางโภชนาการ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นจากแรงผลักดันของตัวเกษตรกรเอง โดยไม่รอการสนับสนุนจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว
.
จากการศึกษาดูงานและประชุมทวิภาคีในครั้งนี้ คณะกรรมาธิการจะได้รวบรวมข้อมูลและข้อสังเกตต่าง ๆ เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมาธิการต่อไป
More Stories
GULF -CMWTE เพิ่มศักภาพชุมชนฟื้นฟูป่าต้นน้ำดอยสะเก็ด เชียงใหม่ กว่า 3,000 ไร่ คืนสมดุลให้ป่าชุมชนด้วยจุลินทรีย์ไมคอร์ไรซ่า ครั้งที่ 3
GULF MTP โครงการท่าเทียบเรือขนถ่ายก๊าซธรรมชาติ ฯ พัฒนาอาชีพชาวประมง จ.ระยอง
พาณิชย์นนทบุรี ยกทัพสินค้าเด่นของจังหวัดกว่า 300 รายการ ภายใต้ชื่องาน ‘Best and Green of Nonthaburi 2025’ ให้ชิมช้อปอย่างจุใจ 26-30 พ.ค.นี้ ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ