รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเชิญคณะกรรมาธิการแก้จน-ลดเหลื่อมล้ำ หารือเรื่องการปฏิรูปการศึกษาไทย
วันพุธที่ 30 มีนาคม 2565 คุณตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้เชิญนายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา นายพลเดช ปิ่นประทีป รองประธานคณะกรรมาธิการคนที่ 1 นายภาณุอุทัยรัตน์ รองประธานคณะกรรมาธิการคุณที่ 4 และนางสาวภัทรา วรามิตร เลขานุการคณะกรรมาธิการ เพื่อหารือเรื่องการปฏิรูปการศึกษา
ประเด็นที่หารือมี 2 ประเด็นด้วยกันคือ 1. แนวคิดเรื่องการปฏิรูปการศึกษาไทย และ 2. การปฏิรูปการศึกษาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ในประเด็นแรก เราเห็นว่ากระทรวงศึกษาธิการควรนำปรัชญาด้านการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ทรงมีพระราชดำรัสว่า “เรียนเป็นเล่น เล่นเป็นเรียน เรียนให้สนุก”
การปฏิรูปคือการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ ซึ่งในที่นี้หมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของผู้บริหารโรงเรียนและครูทุกคน ทุกคนต้องร่วมกันทำความเข้าใจว่าจะเรียน จะสอนและจะทดสอบอย่างไรจึงจะทำให้นักเรียนมีความสนุกสนานได้จริง
นอกจากนี้เราเสนอว่าให้นำปรัชญา การศึกษาของ โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา ( Partnership School Project) ที่คุณมีชัย วีระไวทยะ เป็นผู้นำและได้ทดลองทำมาแล้วร่วม 10 ปี และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เป็นที่ยอมรับของโรงเรียนในประเทศเป็นจำนวนมาก รวมทั้งองค์กรจากต่างประเทศ อาทิเช่นองค์การสหประชาชาติเป็นต้น
กระบวนการเรียนรู้ใน “โรงเรียนมีชัยพัฒนา” ของคุณมีชัย มีเรื่องที่น่าสนใจ เพื่อเก็บรับมาเป็นบทเรียนของการปฏิรูปการศึกษาของไทยคือ
ประการแรก เป็นโรงเรียนประจำที่เด็กสามารถเรียนรู้วิชาการดำรงชีวิต อยู่ร่วมกับเพื่อนๆ ได้เป็นอย่างดี วิชาการมีชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างแท้จริง และมีความสำคัญสำหรับคนทุกคน แต่โรงเรียนทั่วไปไม่ค่อยเห็นความสำคัญของสิ่งนี้ ดังนั้นทุกคนจึงต้องไปเรียนรู้เองหลังจากที่เรียนจบการศึกษาไปแล้ว
วิชานี้จะช่วยให้เด็กนักเรียนมีชีวิตอย่างมีความสุขและมีความสงบสุขในชีวิตไปตลอดชีวิต ไม่ว่าเขาจะประกอบอาชีพอะไร ในอนาคตก็ตาม เขาจะเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อตัวเอง ต่อครอบครัว ต่อชุมชนและต่อประเทศได้
ประการที่สอง เด็กนักเรียนทุกคนจะต้องเรียนรู้ที่จะทำการผลิตการเกษตรให้เป็นผลผลิตจากการเกษตรเหล่านี้ นอกจากจะมาเป็นอาหารสามมื้อสำหรับนักเรียน ทุกคนแล้ว เด็กนักเรียนแต่ละคนจะมีรายได้จากการขายผลผลิตทางการเกษตรในแต่ละวันได้ด้วย นักเรียนบางคนที่กำลังเรียนอยู่ก็สามารถมีเงินออมได้หลายหมื่นบาทแล้ว เราคิดว่ากระบวนการบ่มเพาะแบบนี้เรียกได้ว่าเป็น “การสร้างจิตใจของการเป็นผู้ประกอบการ” ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศของไทยในอนาคต
ประการสาม โรงเรียนมีชัยพัฒนาส่งเสริมให้เด็กนักเรียนกล้าคิดริเริ่มและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่โรงเรียนทั่วไปไม่ทำกัน
นอกจากนี้ที่สำคัญก็คือโรงเรียนสอนให้เด็กมีคุณธรรม รู้จักทำความดีรู้จักแบ่งปันและช่วยเหลือผู้อื่น เป็นนักพัฒนามีความซื่อสัตย์และทำธุรกิจเป็น พูดง่ายๆ ก็คือ กระบวนการเรียนรู้และการสอนนั้นเป็นการถอดประสบการณ์ชีวิตของคุณมีชัยมาให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้เป็นต้นแบบนั้นเอง
ประการที่สี่ โรงเรียนแบบคุณมีชัยไม่ใช่มุ่งแต่สอนอย่างเดียว แต่ยังฝึกฝนให้เด็กนักเรียนรู้จักช่วยเหลือช่วยเหลือพ่อแม่และชุมชนในการขจัดความยากจนอีกด้วย
การที่จะสร้างเด็กนักเรียนแบบนี้จะต้องสอนให้เด็กนักเรียนกล้าคิดออกไปนอกกรอบ ที่สำคัญก็คือความรู้ที่คิดออกไปนอกกรอบนั้นต้องสามารถ นำไปปฏิบัติได้จริงด้วย
ประการที่ห้า โรงเรียนทั่วไปของเราเด็กนักเรียนๆ หนังสืออย่างไม่มีความสุข มีอาการเครียดและขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์ เด็กไม่อยากไปโรงเรียน
การนำปรัชญาการศึกษาของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มา ประยุกต์ใช้จะช่วยให้เด็กมีความสุขกับการไปโรงเรียนมากขึ้น
ประการที่หก เด็กเหล่านี้จะมีวุฒิภาวะค่อนข้างสูง มีระเบียบวินัย และมีความขยันหมั่นเพียรในการเรียนรู้ เด็กนักเรียนเหล่านี้สามารถใช้ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาจีน ลาว กัมพูชา เวียดนาม และพม่า เป็นต้น
การเรียนรู้ของพวกเขาเป็นแบบธรรมชาติ และสอดคล้องกับสภาพภูมิศาสตร์ของที่ตั้งโรงเรียนว่าอยู่ใกล้ชายแดนของประเทศใด ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถสื่อสารภาษาต่างประเทศได้เป็นอย่างดี
ถึงแม้ว่าเด็กทั้งหมดจะมาจากครอบครัวที่ยากจน แต่พวกเขาส่วนใหญ่ก็สามารถเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาได้ ส่วนที่เหลือก็สามารถเป็นผู้ประกอบการทางด้านการเกษตรสมัยใหม่ได้
เราเห็นว่ากระทรวงศึกษาธิการควรใช้วิธีการต่อยอดการทำงานจากโรงเรียนมีชัยพัฒนาและโรงเรียนลูกข่าย ซึ่งมีอยู่ทุกจังหวัดในประเทศไทย โดยมีจำนวนมากกว่า 1500 โรงเรียน
กระทรวงศึกษาธิการควรเอาโรงเรียนเหล่านี้เป็นแม่ข่ายของแต่ละจังหวัด ด้วยการให้ผู้บริหารโรงเรียนและครูทุกคนไปเรียนรู้กระบวนการปฏิรูปการศึกษาแบบของคุณมีชัย หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางความคิดครั้งใหญ่ของผู้บริหารโรงเรียนและครูส่วนใหญ่แล้ว การปฏิรูปการศึกษาที่เป็นจริงก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้
สำหรับเรื่องการปฏิรูปการศึกษาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นพวกเรามีความเห็นว่า
ประการแรก ควรนำปรัชญา และแนวคิดเรื่องการปฏิรูปการศึกษาข้างต้นมาปรับใช้กับโรงเรียนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามความเหมาะสม และที่สามารถใช้ปฏิบัติได้จริง
ประการที่สอง ได้นำเสนอแนวทางการสอนของโรงเรียนในพื้นที่ จากครัวเรือนเกษตรกรยากจน จึงเสนอให้เน้น”การเรียนในวิชาทำมาหากิน”เช่นโครงการ”ครัวโรงเรียนสู่ครัวบ้าน”(นักเรียนทำแปลงเกษตรที่บ้านครูตามให้คะแนน)เด็กได้ความรู้ ครอบครัวได้อาหาร เหลือขายเป็นรายได้ ขณะเดียวกันให้ขยายผลการเรียนอาชีวะสร้างงาน สร้างอาชีพ ไปยังกลุ่มเด็กจบ ม.6 สามัญ/ศาสนา โดยจัดหลักสูตรเพิ่มให้ได้วุฒิบัตรด้านการอาชีพ เตรียมแรงงานสู่ตะวันออกกลาง เป็นต้น(เด็กส่วนใหญ่จบ ม.6 จะมุ่งไปเรียน ป.ตรีด้านสังคมศาสตร์ แล้วว่างงาน)
ประการที่สาม ให้จัดการศึกษาเน้นเสริมสังคมพหุวัฒนธรรม โดยการจัดห้องติวร่วมเด็กจากโรงเรียนสามัญ และเอกชนสอนศาสนา เป็นประจำรายสัปดาห์ /จัดห้องเรียนสัญจร เป็นการรวมรายวิชา- รวมครู-รวมเด็ก เปิดโอกาสสำหรับครู นักเรียน ได้รู้จักแลกเปลี่ยน
ประการที่สี่ จัดทำโครงการเพื่อนำ”บัณฑิตรองานสู่การอาชีพ” เป้าหมายแรกคือกลุ่มบัณทิตที่ต้องมีภาระปลดหนี้ กยศ.
More Stories
GULF -CMWTE เพิ่มศักภาพชุมชนฟื้นฟูป่าต้นน้ำดอยสะเก็ด เชียงใหม่ กว่า 3,000 ไร่ คืนสมดุลให้ป่าชุมชนด้วยจุลินทรีย์ไมคอร์ไรซ่า ครั้งที่ 3
GULF MTP โครงการท่าเทียบเรือขนถ่ายก๊าซธรรมชาติ ฯ พัฒนาอาชีพชาวประมง จ.ระยอง
พาณิชย์นนทบุรี ยกทัพสินค้าเด่นของจังหวัดกว่า 300 รายการ ภายใต้ชื่องาน ‘Best and Green of Nonthaburi 2025’ ให้ชิมช้อปอย่างจุใจ 26-30 พ.ค.นี้ ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ