กรรมาธิการแก้จน-ลดเหลื่อมล้ำผนึกกำลังกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเดินหน้าร่วมกันแก้ ปัญหาความยากจน
วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม 2565 นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา พร้อมด้วยนายพลเดช ปิ่นประทีป รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่หนึ่ง นายภาณุ อุทัยรัตน์ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สี่ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของคณะกรรมาธิการ สองท่าน คือ นายไพโรจน์ พรหมสาส์น และนายประสาร มฤคพิทักษ์ พร้อมด้วยอนุกรรมาธิด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและที่ดินนายชนศวรรตน์ ธนศุภรณ์พงษ์ นายภัทรพล ณ หนองคาย และนายสุภัทรดิส ราชธา ที่ปรึกษาและนายประดิษฐ์ เพชรแสน จากชมรมคนรักษ์ ดิน น้ำ ป่า น่าน
ร่วมกับนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจงคล้าย วรพงศธร รองปลัดกระทรวง นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชและผู้บริหารระดับสูงของกรม ที่ปรึกษากรมป่าไม้และผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
การปรึกษาหารือมี 3 วัตถุประสงค์คือ
ประการแรก มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดในการที่ หน่วยงานต่างๆที่เข้าร่วมการประชุมในวันนี้จะทำงานร่วมกัน แก้ปัญหาความยากจน
ประการที่สอง รูปแบบการร่วมมือควรมีลักษณะเช่นไร และ
ประการสุดท้าย การร่วมมือกันต้องเป็นไปเพื่อแก้ปัญหาความยากจนให้แก่เกษตรกร
ในเบื้องต้น ผู้แทนกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้กล่าวสรุปเกี่ยวกับ อำนาจหน้าที่ และการ
รักษาพื้นที่ป่าไม้ให้เหลือไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔๐ ของพื้นที่ประเทศ
จากนั้น ประธานคณะกรรมาธิการได้กล่าวถึงที่มาของคณะกรรมาธิการปรัชญา เป้าหมายและแนวคิดการแก้ปัญหาความยากจน และวิธีการทำงาน ที่เน้นการร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ภาคประชาสังคมและธุรกิจเอกชน ในอันที่จะลด ปัญหาความยากจนให้แก่เกษตรกรเป็นกลุ่มแรกสุด
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้กล่าวตอบว่า เห็นด้วยกับหลักการการส่งเสริมให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามแนวทางดังกล่าวข้างต้น ซึ่งการดำเนินการในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ หรือพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติต้องคำนึงถึงบริบทหรือข้อจำกัดทางกฎหมายของพื้นที่นั้น ๆ แต่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพร้อมที่จะ ร่วมมือและให้การสนับสนุนแนวทางดังกล่าวอย่างเต็มที่
ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ได้กล่าวถึงการดำเนินงานของกองทุนพัฒนาไฟฟ้าซึ่งใช้พัฒนาพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า โดยผ่านการทำประชาสังคม ที่เป็นโครงการด้านเศรษฐกิจชุมชน ด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกป่เศรษฐกิจ ปลูกป่าชุมชน เป็นต้น การบริหารจัดการลำน้ำแบบครบวงจร รวมถึงการขุดลอกคูคลอง
แต่ ปัญหาของเงินกองทุนของรัฐ คือไม่ สามารถใช้ใน พื้นที่เขตสงวนหวงห้ามของทางราชการได้ ดังนั้นชุมชนรอบโรงไฟฟ้าที่อยู่ในพื้นที่สงวนหวงห้ามของ กรมอุทยานแห่งชาติและกรมป่าไม้จึงไม่สามารถนำเงินของกองทุนไปใช้ พัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้นได้
กรณีดังกล่าว นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าเป็นประเด็นปัญหาสำคัญ ซึ่งการจะดำเนินโครงการใด ๆ ก็ตาม โดยหลักการแล้วต้องได้รับความเห็นชอบให้ใช้พื้นที่ก่อน จึงจะสามารถ เข้าไปดำเนินการได้
ในขณะนี้ได้มีการแก้ปัญหาให้กับ
ส่วนราชการที่เข้าไปดำเนินการในพื้นที่ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมีมติคณะรัฐมนตรีให้ขออนุญาตย้อนหลังได้ และมีการยื่นขออนุญาตย้อนหลัง ในขณะนี้แล้วเป็นจำนวน กว่า 100,000 ราย
ส่วนการแก้ไขปัญหาดังกล่าวต้องใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานนั้น ๆ เข้าร่วมในการดำเนินการโดย ท่านปลัดกระทรวง เสนอให้ แก้ปัญหาด้วยการให้หน่วยงานต่าง ๆ เช่นสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเข้ามาทำ MOU (หนังสือบันทึกข้อตกลงระหว่างองค์กรที่เกี่ยวข้อง) กับหน่วยงานของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นต้น เพื่อร่วมมือกันในการทำงาน
ส่วนการดำเนินการในพื้นที่ต่าง ๆ นั้น ก็สามารถพิจารณาดำเนินการได้ตามความเหมาะสมของบริบทในพื้นที่นั้น ๆ โดยยึดหลักการว่าเป็นการแก้ปัญหาให้แก่ประชาชนและ ยึดถือผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
นายไพโรจน์ พรหมสาส์น และนายประสาร มฤคพิทักษ์ ได้ให้ความเห็นว่า ปัญหาเรื่องเอกสารสิทธิการครอบครองที่ดิน การ อาศัยทำกินอยู่ในพื้นที่ของรัฐ รวมทั้งสิทธิสถานะบุคคล เป็นปัญหาที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน จึงเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหา ดังนี้คือ
๑) ให้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) กำหนดให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานที่ดูแลพื้นที่สาธารณะ ทำการสำรวจพื้นที่ในความรับผิดชอบของตนเองว่ามีจำนวนเท่าใด ทับซ้อนกับพื้นที่รับผิดชอบของหน่วยงานอื่นหรือไม่ ถ้าทับซ้อนกัน ต้องแก้ไขให้มีความชัดเจน
๒) พื้นที่เหล่านั้นมีประชาชนอาศัยอยู่หรือถือครองที่ดินไว้หรือไม่ และพื้นที่ใดสามารถให้ประชาชนอาศัยอยู่ได้ต้องกำหนดให้ชัดเจน ส่วนที่ไม่สามารถให้อาศัยอยู่ได้ ต้องจัดสรรพื้นที่ให้อยู่อาศัยต่อไป
๓) ส่วนที่เป็นสาธารณูปโภคที่จำเป็นต่อสาธารณะ ควรมีการแก้ปัญหาในเชิงนโยบายที่ชัดเจนและมีความต่อเนื่องเพื่อให้สามารถดำเนินการได้
๔) ควรต้องมีกระบวนการการรวมศูนย์ในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น ปัญหาที่เกิดจากข้อจำกัดของกฎหมายได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ เพราะระบบราชการแบบเดิม ๆ ที่ผ่านมา ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
ต่อประเด็นดังกล่าวข้างต้น นายจงคล้าย วรพงศธร รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้ความเห็นว่า
๑) การปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ (One Map) ได้ดำเนินการสำเร็จไปแล้วกว่า ๒๐ จังหวัด
๒) ปัญหาเรื่องที่ดินที่มีประชาชนอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาตินั้น คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ดำเนินการแล้ว เสร็จกว่า ๓ ล้านไร่ ส่วนพื้นที่ในลุ่มน้ำ อีกกว่า ๑๐ ล้านไร่
การจัดการที่ดิน ตามรูปแบบของ คทช. เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสาธารณูปโภคต่าง ๆด้วย ส่วนในพื้นที่ป่าอนุรักษ์มีประชาชนอาศัยอยู่มากกว่า ๔.๒ ล้านไร่ ซึ่งในขณะนี้มีการแก้ไขปัญหาด้วยกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ และกฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เป็นการอยู่ที่ถูกต้องตามกฎหมายทั้งหมดแล้ว ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จะเป็นผู้ดูแล ซึ่งในกฎหมายมีการบัญญัติเกี่ยวกับการจัดการให้มีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานให้
๓) กรณีการใช้จ่ายเงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้าของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานนั้น ขอเสนอเรื่องการผลิตกระแสไฟฟ้าชีวมวล เนื่องจากพื้นที่ คทช. ต่าง ๆ ส่วนใหญ่มีการปลูกพืชเชิงเดี่ยว สามารถเข้าไปส่งเสริมให้ปลูกไม้พลังงาน คือไม้เศรษฐกิจ แล้วทำโรงผลิตพลังงานขนาดเล็กในพื้นที่
โดยใช้ไม้ที่ซื้อจากชาวบ้าน เพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้ ซึ่งน่าจะดีกว่าการปลูกพืชเชิงเดี่ยว เช่น ข้าวโพด หรือมันสำปะหลัง
จากนั้น ประธานคณะกรรมาธิการ ได้กล่าวสรุป ผลการหารือ ดังนี้คือ
๑) ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันในการทำ MOU ระหว่างกรมต่าง ๆ ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน โดยประธานคณะกรรมาธิการเสนอให้เพิ่มอีก ๒ หน่วยงาน คือ สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) และกรมพัฒนาที่ดินด้วย
ท่านปลัดกระทรวงได้มอบหมายให้นายจงคล้าย วรพงศธร รองปลัดกระทรวงเป็นผู้ประสานงาน ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับ กิจการพลังงานและกำหนดเนื้อหาสาระของ MOU ให้แล้วเสร็จภายในเวลา 7 วัน
๒) ประธานคณะกรรมาธิการกับท่านปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้หารือเรื่องขอให้กระทรวงส่งตัวแทนเข้าร่วมในคณะอนุกรรมาธิการด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในคณะกรรมาธิการ
ท่านปลัดกระทรวง เห็นชอบและได้มอบหมายให้นายจงคล้าย วรพงศธร รองปลัดกระทรวงเป็นอนุกรรมาธิการ ในชุดดังกล่าว
๓) ประธานคณะกรรมาธิการได้เสนอให้ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอพื้นที่ต้นแบบ ที่มีความขัดแย้ง ในปัญหา เรื่องคนอยู่ ร่วมกับป่าตามกฏหมายใหม่ โดยกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติจะเป็นผู้กำหนดพื้นที่ๆ จะศึกษาและเรียนรู้ร่วมกัน
จากนั้น นายภาณุ อุทัยรัตน์ รองประธานคณะกรรมาธิการได้เสนอประเด็นปัญหา เพื่อการหารือ กล่าวคือ ในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะสามารถเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาได้
คือ เรื่องการสำรวจการถือครองที่ดินของราษฎรในเขตอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี ๒๕๕๘ ซึ่งพื้นที่บริเวณนอกเขตป่าสงวนแห่งชาติ ๑๐๐,๐๐๐ กว่าแปลงนั้น สามารถออกเอกสารสิทธิได้ทั้งหมดตั้งแต่ปี ๒๕๖๔
พื้นที่ต่อมาคือพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
ซึ่งมีการจัดทำแผนที่เรียบร้อยแล้ว แต่พื้นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติ ๒๐๐,๐๐๐ กว่าไร่นั้น เป็นพื้นที่ๆมีราษฎรเข้าไป อาศัยทำกินอยู่ก่อนแล้ว ๗๐,๐๐๐ กว่าราย เป็นพื้นที่ประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ ไร่ ซึ่งมีการสำรวจและจัดทำแผนที่ว่าใครถือครองก่อน หลัง และใช้ประโยชน์อย่างไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งแผนที่ทั้งหมดอยู่ในสำนักงานบริหารเขตพื้นที่อนุรักษ์ที่ 6 สาขาปัตตานี จึงขอเสนอให้มีการเร่งรัดการทำงานโดยกำหนดเป้าหมายให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคมนี้
ก่อนจบการประชุม ประธานคณะกรรมาธิการได้กล่าวถึงแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดยะลาที่มีอุโมงค์ ขนาดใหญ่สุดของอดีตพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาที่สร้างขึ้น ซึ่งอยู่ในพื้นที่ของกรมอุทยาน หากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้การสนับสนุนโดยการเปิดพื้นที่ดังกล่าวให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเที่ยวชมได้แล้วก็จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่สามจังหวัดใช้แดนพักใต้ได้เป็นอย่างดี อีกทางหนึ่ง
การหารือกันในวันนี้ระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการกำกับพลังงาน และคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา จบลงโดยได้ข้อยุติที่เป็นรูปธรรมสำหรับการเดินหน้าแก้ปัญหาต่างๆให้แก่พี่น้องเกษตรกรทั่วทั้งประเทศ
ผมเห็นว่าถ้าหากสามารถแก้ไขเรื่องปัญหาคนอยู่กับป่าให้กับพี่น้องเกษตรกรที่อาศัยอยู่ในป่าที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดูแลได้จริง ก็จะสามารถแก้ปัญหาให้แก่เกษตรกรทั้งประเทศได้เป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้หากได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานที่จะให้การสนับสนุนเรื่องการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ เกษตรกรแล้ว ก็จะเป็นการสร้างความผาสุกและการกินดีอยู่ดี ของพี่น้องเกษตรกรอันเป็นความปรารถนาของพวกเราทุกคนครับ
More Stories
GULF -CMWTE เพิ่มศักภาพชุมชนฟื้นฟูป่าต้นน้ำดอยสะเก็ด เชียงใหม่ กว่า 3,000 ไร่ คืนสมดุลให้ป่าชุมชนด้วยจุลินทรีย์ไมคอร์ไรซ่า ครั้งที่ 3
GULF MTP โครงการท่าเทียบเรือขนถ่ายก๊าซธรรมชาติ ฯ พัฒนาอาชีพชาวประมง จ.ระยอง
พาณิชย์นนทบุรี ยกทัพสินค้าเด่นของจังหวัดกว่า 300 รายการ ภายใต้ชื่องาน ‘Best and Green of Nonthaburi 2025’ ให้ชิมช้อปอย่างจุใจ 26-30 พ.ค.นี้ ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ