09/06/2025

ข่าวเด็ด77

รวมข่าวดีรวมข่าวเด็ด จาก77 จังหวัดทั่วไทย

กรรมาธิการแก้จน-ลดเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา จับมือสปก. เดินหน้าแก้น้ำแก้จนให้เกษตรกร ทั่วประเทศ

กรรมาธิการแก้จน-ลดเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา จับมือสปก. เดินหน้าแก้น้ำแก้จนให้เกษตรกร ทั่วประเทศ

วันพุธที่ 2 มีนาคม 2565 นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา พร้อมด้วยนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สอง และอนุกรรมาธิการศึกษา เสนอแนะ การแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและที่ดิน 2 ท่าน คือ นายชนศวรรตน์ ธนศุภรณ์พงษ์ และนายภัทรพล ณ หนองคาย ได้เดินทางเข้าพบเลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดิน
เพื่อเกษตรกรรม เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือและการสนับสนุนส่งเสริมปัจจัยการผลิต
และความรู้ด้านวิชาการแก่เกษตรกรในที่ดิน ส.ป.ก. ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยได้รับการต้อนรับจาก นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และรองเลขาธิการ ส.ป.ก. ทั้ง 3 ท่าน คือ นายสุริยน พัชรครุกานนท์ นายวุฒิพงศ์ เนียมหอม และนายเอกพงศ์ น้อยสร้าง พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูง

ในเบื้องต้น นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กล่าวถึงภาพรวมในการบริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในช่วงระยะเวลา 2 ปี ที่ผ่านมา เป็นการดำเนินการ
ตามนโยบาย “5 ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย” ของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร
และสหกรณ์ ซึ่ง 5 ยุทธศาสตร์ดังกล่าว ประกอบด้วย 1) ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต 2) ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร 4.0 3) ยุทธศาสตร์ “3’s” (Safety-Security-Sustainability- เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคง และเกษตรยั่งยืน) 4) ยุทธศาสตร์การบริหารเชิงรุกแบบบูรณาการกับทุกภาคส่วนโดยเฉพาะโมเดล “เกษตร-พาณิชย์ทันสมัย” และ 5) ยุทธศาสตร์เกษตรกรรมยั่งยืนตามแนวทางศาสตร์พระราชา

จากนั้นนายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการ ส.ป.ก. ได้กล่าวสรุปถึงความเป็นมาของ ส.ป.ก. ว่า
ส.ป.ก. ถือกำเนิดขึ้นในปี 2518 จากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานที่ดิน จำนวน 50,000 กว่าไร่ โดยทาง ส.ป.ก. ได้นำมาปฏิรูปที่ดินราว 44,000 กว่าไร่ ตามแนวพระบรมราโชบายที่ต้องการให้การปฏิรูปที่ดินนั้น เป็นการสร้างโอกาสให้เกษตรกรมีที่ดินถือครองอย่างมั่นคง
ในอนาคต

ที่มาของที่ดิน ส.ป.ก. มีทั้งที่ดินของรัฐ ที่ราชพัสดุ ที่ดินที่ประชาชนบริจาคให้ รวมทั้งที่ดินที่ทาง ส.ป.ก. เป็นผู้จัดซื้อ ซึ่ง ส.ป.ก. มีที่ดินทุกประเภทรวมกันประมาณ 40.6 ล้านไร่ และตั้งแต่ปี 2518 ถึงปี 2564 ได้มีการจัดที่ดินให้เกษตรกรไปแล้วประมาณ 2.2 ล้านราย รวมเป็นพื้นที่ประมาณ 36 ล้านไร่

นอกจากการจัดที่ดินให้เกษตรกรแล้ว ส.ป.ก. ยังต้องจัดโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้เกษตรกรสามารถอยู่อาศัยทำมาหากินในพื้นที่นั้นได้ โดย ส.ป.ก. ได้จัดทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกับ 8 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือกรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดิน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เพื่อร่วมมือกันจัดโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ ส.ป.ก. และยังมีการจัดทำ MOU กับหน่วยงานอื่นเพื่อเป็นการพัฒนาการประกอบอาชีพของเกษตรกรให้เข้มแข็ง เนื่องจากพื้นที่ ส.ป.ก. ส่วนใหญ่อยู่นอกพื้นที่ชลประทาน ซึ่งเงินส่วนหนึ่งที่ใช้ในการจัดโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวมาจากกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม นอกจากนั้นยังมีการริเริ่มดำเนินการเพื่อแก้ไขกฎหมาย ส.ป.ก. ให้ ทันสมัยเพื่อแก้ไขข้อจำกัดในการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรต่อไป

จากนั้น ประธานคณะกรรมาธิการได้กล่าวถึงที่มาของคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา ว่าเกิดจากแนวคิดที่ว่าการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ
ไม่สามารถแก้ไขได้โดยหน่วยงานหรือกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง รวมทั้งไม่สามารถแก้ไข่ได้ด้วยกรรมาธิการคณะใดคณะหนึ่งที่เป็นประเพณีปฏิบัติมาเป็นเวลาช้านาน ของระบบรัฐสภา ด้วยเหตุนี้วุฒิสภาจึงมีมติให้ตั้งคณะกรรมาธิการคณะนี้ขึ้น เป็นครั้งแรก เพื่อแก้ปัญหาใหญ่ของประเทศ

กรรมาธิการคณะนี้ได้น้อมนำเอาปรัชญาเศรษฐกิจของความพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 9 มาเป็นแนวทางในการทำงาน โดยมุ่งบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานภาครัฐ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจเอกชน และกับ เกษตรกรทั้งที่เป็นเครือข่าย เป็นวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ เป็นกลุ่มและเกษตรกรในระดับครัวเรือน

คณะกรรมาธิการเห็นว่า นอกจากที่ดิน เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญสำหรับเกษตรกรแล้ว “น้ำ” นับว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญที่สุดในการผลิต ในบางพื้นที่ที่ เกษตรกรในเขตชลประทานมีน้ำเพียงพอ แต่ก็ยัง มีหนี้สินจำนวนมากและมีความยากจน ด้วยเหตุที่เกษตรกรรมเหล่านั้นทำการเกษตรเชิงเดี่ยว จึงมีต้นทุนการผลิตสูง จากราคาน้ำมัน ปุ๋ย และยาฆ่าแมลง ซ้ำราคาผลผลิต ยังมีความผันผวนไม่แน่นอนตลอดเวลา

กรณีดังกล่าว ข้างต้นต้องแก้ไขด้วยการเข้าไปให้ความรู้และส่งเสริมให้เกษตรกรนำพื้นที่บางส่วนมา ทดลองทำเกษตรอินทรีย์แบบผสมผสาน เพื่อให้ เกษตรกรสามารถมีรายได้จากการขายผลผลิตทุกวันโดย เกษตรกรจำเป็นต้อง คิดเรื่องการตลาด ก่อนที่จะ ลงมือทำการผลิต ให้สอดคล้องกับตามความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละฤดูกาล

ถึงแม้ว่าหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมาธิการจะเป็นเพียงการ ให้ข้อเสนอแนะ เชิงนโยบายต่อรัฐบาล แต่ กรรมาธิการต้องการเสนอแนะเรื่องที่เป็นนวัตกรรมทางเทคโนโลยี และนวัตกรรมทางสังคมควบคู่กันไป

ตัวอย่างเช่น ที่ คณะกรรมาธิการได้เสนอ เรื่องการแก้ความยากจนของเกษตรกรโดยการใช้แหล่งน้ำขนาดเล็ก เช่นการทำฝายแกนซอยซีเมนต์ หรือฝายทันใจเพื่อการกักเก็บน้ำ ซึ่ง ในขณะนี้ได้ดำเนินการ แล้วในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น มากกว่า 150 แห่ง จังหวัดแพร่ 6 แห่ง และยังได้ขยายออกไปยังจังหวัดอื่น ๆ เช่นที่จังหวัดน่าน ซึ่ง”ฝ่ายทันใจ” เป็นนวัตกรรมที่มีความแข็งแรง ใช้วัสดุในท้องถิ่น ราคาไม่แพง เก็บกักน้ำไว้ให้พี่น้องเกษตรกรใช้ได้ตลอดทั้งปี

หากมีการสร้างฝาย แกนซอยซีเมนต์เพื่อกักเก็บ น้ำเอาไว้ทุกๆ 5 กิโลเมตรทุกลุ่มน้ำ จากจำนวน 22 ลุ่มน้ำทั่วประเทศ โดยใช้งบประมาณทำฝาย เฉลี่ยฝายละ 500,000 บาท หากสมมุติว่าแต่ละลุ่มน้ำมีความยาวประมาณ 1000 กิโลเมตร แต่ละลุ่มน้ำจะใช้การสร้างฝาย ประมาณ 200 ตัว ดังนั้นแต่ละลุ่มน้ำจะใช้งบประมาณราว 100 ล้านบาท

ถ้าทำฝายดังกล่าวทั่วประเทศ 22 ลุ่มน้ำ จะใช้เงินประมาณ 2,000 กว่าล้านบาท ซึ่งจะทำให้การแก้ปัญหาน้ำท่วมและปัญหาภัยแล้งได้ทั้งประเทศ แต่ที่สำคัญ ที่สุดก็คือเกษตรกรจะมีน้ำใช้ ในการ ผลิตและอุปโภคบริโภคได้ตลอดทั้งปี

งานที่คณะกรรมาธิการได้ดำเนินการไป บ้างแล้วนั้น ถือได้ว่ายังอยู่ในระยะเริ่มต้น ดังนั้นเราจึงได้พยายามแสวงหาพันธมิตรในการทำงานร่วมกัน เช่นที่บ้านทุ่งชมพู อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นต้นแบบของการแก่จนด้วยการเจาะ บ่อ บาดาลน้ำตื้น และใช้โซล่าเซลล์ แม้ว่าเกษตรกรส่วนหนึ่งจะสามารถทำได้ด้วยตัวเอง แต่เราเชื่อว่ายังมีเกษตรกรบางส่วนยังขาดเงินทุนในการทำบ่อบาดาลน้ำตื้น หรือระบบสูบน้ำโซล่าเซลล์

ดังนั้นคณะกรรมาธิการจึง ได้สร้างความร่วมมือกับ ธ.ก.ส. ในการให้สินเชื่อแก่เกษตรกรทั้งที่เป็นลูกหนี้รายใหม่และลูกหนี้ NPL ของธนาคาร อันจะทำให้เกษตรกรมีเงินทุนในการสร้างรายได้เพิ่มขึ้น และสามารถชำระหนี้ที่มีอยู่กับธนาคารได้

ส่วนของกรมพัฒนาที่ดินก็ยินดีที่จะร่วมมือในการทำสระน้ำขนาดเล็ก ซึ่งหากได้ผสมผสานกับแนวคิดของคณะกรรมาธิการก็จะสามารถทำให้เกษตรกรมีน้ำใช้ตลอดปี สำหรับกรมป่าไม้ก็ยินดีที่จะสนับสนุนกล้าพันธุ์ไม้มีค่าเพื่อให้เกษตรกรนำไปปลูกเป็นป่า หรือปลูกตามคันฝาย คูคลอง หัวไร่ปลายนา การปลูกป่าที่เป็นไม้ดอกเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดต่าง ๆ การปลูกป่าในพื้นที่เมือง การปลูกไม้มีค่าในสวนยางพารา เป็นต้น นอกจากนี้เรายังจะได้กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทยที่จะมาช่วยเรื่องการตลาดให้แก่เกษตรกร และมูล นิธิของภาคประชาสัมคมที่จะให้การสนับสนุนเรื่องการทำแพคเกจจิ้ง (packageing) ให้แก่การทำผลิตภัณฑ์ของเกษตรกร ได้อีกด้วย

ด้วยเหตุนี้คณะกรรมาธิการจึงเห็นความสำคัญของการร่วมมือกับสปก. เพราะเหตุที่สปก. ได้มอบที่ดิน แก่เกษตรกร ไปแล้วถึง 36,000,000 ไร่ทั่วประเทศ แต่มีที่ดินที่มีน้ำเพียงพอสำหรับทำการเกษตรทั้งปีเพียง 5% เกษตรกรที่เหลือส่วนใหญ่จึงต้องพึ่งพาแต่น้ำฝนตามธรรมชาติเท่านั้น ดังนั้นนายสังศิต พิริยะรังสรรค์จึงเสนอให้สร้างความร่วมมือระหว่างคณะกรรมาธิการกับทาง ส.ป.ก. ขึ้น เพราะ ส.ป.ก. มีพื้นที่ ส่วนคณะกรรมาธิการมีหน้าที่ในการให้ข้อเสนอแนะเรื่องการกักเก็บน้ำ
การร่วมมือกัน จะช่วยทำให้เกษตกรในพื้นที่ ส.ป.ก. มีน้ำใช้ เพื่อ การเกษตรตลอดปี

และหากทาง ส.ป.ก. มีพื้นที่ตัวอย่างที่ต้องการพัฒนาให้เป็นพื้นที่ต้นแบบ เราสามารถบูรณาการและประสานความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมมือกันพัฒนาพื้นที่นั้นให้เป็นพื้นที่ตัวอย่างในการพัฒนาได้ ต่อไป

จากการหารือ คณะกรรมาธิการและ ส.ป.ก. ได้ข้อสรุปร่วมกัน ดังนี้คือ

1. คณะกรรมาธิการ และ ส.ป.ก. มีความยินดีในการร่วมมือกันโดยไม่จำเป็นต้องทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ของทั้งสองฝ่าย โดยนายสังศิต พิริยะรังสรรค์ กล่าวว่าการร่วมมือกันนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือหัวใจที่เป็นมิตร และ ความไว้เนื้อเชื่อใจ ที่มีต่อกัน ก็เพียงพอแล้ว ไม่ มีความจำเป็น ไดๆที่ต้องมีลายลักษณ์อักษรเป็นเอกสารให้ เป็นเรื่องเป็นราว

2. คณะกรรมาธิการ และ ส.ป.ก. ตกลงมอบหมายให้ นายภัทรพล ณ หนองคาย เป็นผู้ประสานงาน
กับทาง ส.ป.ก. ในการหาพื้นที่ต้นแบบเพื่อระดมทรัพยากรลงไปช่วยกันฟื้นฟูพื้นที่ดังกล่าว

ในเรื่องนี้ ส.ป.ก. ได้เสนอพื้นที่ต้นแบบ 2 พื้นที่ คือ

1 ) พื้นที่บ้านหนองโน ตำบลกุดเค้า อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น มีพื้นที่ราว 1000 ไร่ และ

2 ) พื้นที่อำเภอดอนจาน จังหวัดกาฬสินธุ์

3. คณะกรรมาธิการขอความอนุเคราะห์จากทาง ส.ป.ก. ในการขอให้นายสุริยน พัชรครุกานนท์ รองเลขาธิการ ส.ป.ก. เข้ามาเป็นที่ปรึกษาของคณะอนุกรรมาธิการศึกษา เสนอแนะ การแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและที่ดิน และเป็นอนุกรรมาธิการในคณะอนุกรรมาธิการพัฒนาคุณภาพชีวิต ในพื้นที่ชายแดนสามจังหวัดภาคใต้

4. ในเบื้องต้น นายภัทรพล ณ หนองคาย จะเป็นผู้ประสานงานในการเชิญวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ
จากกรมชลประทานมาปรึกษาหารือกับทาง ส.ป.ก. ในการออกแบบฝายแกนซอยซีเมนต์ โดยทาง ส.ป.ก. ได้เสนอให้ นายเอกพงศ์ น้อยสร้าง รองเลขาธิการ ส.ป.ก. นายสมศักดิ์ การเจริญกุลวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน นายอุกฤษณ์ อินทาภรณ์ ผู้อำนวยการสำนักวิชาการและแผนงาน และผู้แทนจากสำนักกฎหมาย สำนักบริหารกองทุน ร่วมเป็นทีมงานในการปรึกษาหารือเรื่องดังกล่าว เพื่อที่ ส.ป.ก. จะได้มีนวัตกรรมใหม่สำหรับการทำงานในเชิงพื้นที่

จากการเข้าพบเพื่อร่วมหารือเกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือและการสนับสนุนส่งเสริมปัจจัยการผลิตและความรู้ด้านวิชาการแก่เกษตรกรในที่ดิน ส.ป.ก. ให้เกิดประโยชน์สูงสุดดังกล่าว เลขาธิการ ส.ป.ก. และผู้บริหารระดับสูง มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะร่วมมือกับคณะกรรมาธิการในทางปฏิบัติต่อไป

ผมอยากจะกล่าวว่าการพบปะกันในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการ ปรึกษาหารือที่จบลงด้วยความปิติของทั้งสองฝ่ายและสามารถสร้างกำลังใจให้แก่ทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง

You may have missed